หากจะกล่าวถึงพระเครื่องที่ผู้คนยกย่องว่าเป็น “สุดยอดพระในดวงใจ” ของพสกนิกรไทย พระที่มิได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ แต่สร้างขึ้นด้วย “ความรัก ความเมตตา และปณิธานแห่งธรรม” “พระสมเด็จจิตรลดา” คือหนึ่งในองค์นั้น
พระเครื่องที่ไม่ได้มีไว้ขาย … แต่มีไว้ให้
พระสมเด็จจิตรลดา มิได้จัดสร้างเพื่อจำหน่าย หรือเผยแพร่ทั่วไป
พระองค์ทรงมอบให้เฉพาะผู้ที่ทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง
เช่น ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชบริพาร รวมถึงบุคคลสำคัญที่เสียสละเพื่อชาติ
พระสมเด็จจิตรลดา พระที่ในหลวงทรงสร้าง
พระเครื่องที่ไม่ได้สร้างไว้ขาย … แต่สร้างไว้ให้
“พระสมเด็จจิตรลดา” พระเครื่องซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้สร้างด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และยังได้รวมเอา “เส้นพระเจ้า” (เส้นพระเกศา) บรรจุไว้ในองค์พระสมเด็จจิตรลดาอีกด้วย
ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2508 ได้มีพระราชดําริที่จะสร้างพระพิมพ์ส่วนพระองค์ขึ้นมา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปกร เป็นผู้แกะแม่พิมพ์ในพระราชฐาน ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน และ ทรงตรวจพระพุทธลักษณะจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย
รูปแบบลักษณะ
พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระพุทธรูปพิมพ์ปางนั่งสมาธิราบ พระพักตร์ทรงผลมะตูม พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย ประทับเหนือดอกบัวบาน บน 5 กลีบ ล่าง 4 กลีบ ตรงกับรัชกาลที่ 9 รูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ขนาดกว้าง 2.2 ซม. สูง 3.2 ซม. หนา 0.5-1.0 ซม. ส่วนพิมพ์เล็ก ขนาดกว้าง 1.4 ซม. สูง 2.1 ซม. หนา 0.5 ซม. เป็นพระเครื่องเนื้อผง ขอบขององค์พระด้านหน้าทั้ง 3 ด้าน เฉียงป้านออกสู่ด้านหลังเล็กน้อย โทนสีน้ําตาลแก่ พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองทั้งสิ้น
มวลสาร
ประกอบไปด้วยส่วนในพระองค์และวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ
1. ในส่วนพระองค์
- ดอกไม้แห้งจากพวงมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดําเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากร (พระแก้วมรกต) แล้วได้ทรงแขวนไว้ ณ ที่บูชาองค์พระพุทธรูปปฏิมากรจนถึงคราวที่เสด็จพระราชดําเนินเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ทรงเห็นเป็นสําคัญที่ควรเก็บดอกไม้แห้งไว้ใช้เป็นประโยชน์
- เส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศา) ซึ่งเจ้าพนักงานรวบรวมไว้ หลังจากทรงเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ทุกครั้ง
- ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตร และด้ามพระขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล
- สีซึ่งขูดจากเรือใบพระที่นั่ง ขณะที่ทรงแต่งเรือพระที่นั่ง
2. ส่วนที่มาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ทรงมอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดหาจากปูชนียสถาน หรือ พระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชา ในแต่ละ จังหวัด อันได้แก่ ดินหรือตะใคร่น้ําแห้งจากปูชนียสถาน เปลวทองคําปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา และน้ําจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเคยนํามาใช้เป็นน้ําสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีราชาภิเษก
พระพุทธรูปพิมพ์องค์นี้ ผู้ได้รับพระราชทานได้ขนามนามว่า “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ส่วนคําว่า “พระกําลังแผ่นดิน” นั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ขนามพระนามตามชื่อ เรียกของพระองค์ท่าน “ภูมิ” แปลว่าแผ่นดิน คําว่า “พล” แปลว่า กําลัง จึงเป็นที่มาของพระนามองค์พระ “สมเด็จจิตรลดา” ว่า “พระกําลังแผ่นดิน”
สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา เป็นพระพุทธรูปพิมพ์องค์เดียวที่เคยสร้างในเมืองไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้สร้าง แต่ไม่ได้มีพิธีพุทธาภิเษก แต่เป็นการสร้างด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง ก่อให้เกิดพุทธานุภาพสูงส่ง เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่พระองค์มีต่อพสกนิกรชาวไทย ผู้ที่ได้รับไปบูชา
สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา เป็นพระพุทธรูปพิมพ์องค์เดียวที่เคยสร้างในเมืองไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้สร้าง แต่ไม่ได้มีพิธีพุทธาภิเษก แต่เป็นการสร้างด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง ก่อให้เกิดพุทธานุภาพสูงส่ง เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่พระองค์มีต่อพสกนิกรชาวไทย ผู้ที่ได้รับไปบูชา
สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา หรือพระกําลังแผ่นดิน สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2508 จนถึง ปี พ.ศ. 2512 ได้แบ่งแยกเนื้อมวลสารได้ดังนี้
ระยะเวลา ปี พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2509 เป็นพระเนื้อองค์สีน้ำตาลแก่ ขนาด 2-3 ซม. หนา 0.7 ซม. มวลสารจะมีมาก มีลักษณะแห้ง และเล็กบาง ลวดลายบาง จุดเด่น คือมีเส้นพระเจ้ามากกว่ายุคอื่น
ปี พ.ศ. 2510 เนื้อองค์พระสีน้ำตาลแก่ออกสีดํา เขียว ขนาด 2-3 ซม. หนา 0.8 ซม. มีเม็ดผดตามองค์พระมาก
ปี พ.ศ. 2511 ถึงปี พ.ศ. 2512 สีน้ําตาลแก่ หนามาก เนื้อค่อนข้างใส หนึกนุ่ม มีเรซิ่นเป็นมวลสารหลัก องค์พระจะมีขนาดใหญ่ และแข็งแรง เพราะพระองค์ทรงสร้างแจกทหารที่ไปเวียดนาม
มวลสารของสมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา มีทั้งหยาบและละเอียด มีจุดฟองอากาศ และเส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศา) ปรากฏอยู่ในมวลสาร
ผงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมวลสารจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนํามาบดเป็นผง ทําเป็นส่วนผสมรวมกับเส้นพระเจ้า คลุกกับกาวเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วกดเป็นองค์พระ ทรงทําด้วยพระองค์เองทุกขั้นตอน สีขององค์พระมีหลากหลาย ได้แก่ สีน้ำตาล น้ำตาลอมแดง คล้ายเทียน น้ำตาลอมเหลือง สีดําอมเขียว หรือสีดําอมแดง มีทั้งสีเข้ม และอ่อน
ทุกครั้งที่ทรงเทพิมพ์ด้วยพระหัตถ์ในยามดึก หลังจากทรงพระอักษรและทรงงานอันเป็นพระราชภารกิจ เพียงลําพังพระองค์เดียว มีเพียงเจ้าพนักงาน 1 คน ที่คอยถวายสุธารส และคอยหยิบสิ่งต่างๆ ถวายตามพระราชประสงค์ การผสมผงวัตถุมงคล จะทรงผสมให้พอดีที่จะพิมพ์ให้หมดในแต่ละครั้งเท่านั้น
เดิมพระสมเด็จหลวงพ่อจิตรลดาทรงสร้างด้วยฝีพระหัตถ์ประมาณ 200 องค์ ณ ตําหนักจิตรลดา เมื่อ พ.ศ.2509
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา ทรงประสิทธิ์ ประสาทให้โดยพระหัตถ์เป็นบุคคลๆ ไป พร้อมพระกระแสรับสั่งทุกครั้ง ให้ผู้รับ พระราชทานจงปฏิบัติคุณงามความดี อยู่ในศีลธรรม และยึดมั่นในอํานาจแห่งพุทธคุณ ทรงกําชับให้เอาเปลวทองปิดที่ด้านหลังขององค์พระก่อนนําไปบูชา ให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ ขอให้ปฏิบัติตัวอยู่ในความดีงาม การปิดทองหลังองค์พระคงเป็นเคล็ดบางอย่างที่พระราชดําริในการที่จะปลูกฝังนิสัยให้ผู้ที่รับพระราชทานทําการกุศล หรือประโยชน์แก่สาธารณะ จึงมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นจริงๆ มิได้มุ่งหวังชื่อเสียงและลาภยศใดๆ ทํานองคติโบราณว่า “ปิดทองหลังพระ”
และบุคคลที่จะขอพระราชทาน ต้องขอพระราชทานต่อพระองค์เท่านั้น จะไม่พระราชทานให้ผู้ใดที่ไม่ได้ขอพระราชทาน
สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดาทุกองค์จะได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีใบระกาศนียบัตร (ใบกํากับองค์พระ) ขนาด กว้าง 12.7 ซม. ยาว 15.8 ซม. พื้นสีขาว ด้านบนมีภาพพิมพ์องค์พระสมเด็จหลวงพ่อจิตรลดาประกอบอยู่ แต่ไม่ใช่องค์ที่ทรงพระราชทานให้ ขนาดจะใหญ่กว่าองค์จริงเล็กน้อย สีน้ําตาลเข้ม เป็นเอกสารส่วนพระองค์ เอกสารฉบับนี้เจ้าหน้าที่สํานักพระราชวังจะแจ้งให้มารับภายหลังจากวันที่ได้รับพระราชทานองค์พระ โดยไม่มีหมายกําหนดที่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่ข้าราชการหลายระดับที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคคลบาท อันได้แก่ ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ นักการเมือง แต่ก็ทราบกันเฉพาะภายใน เพราะไม่โปรดให้เป็นข่าวแพร่สะพัด ผู้ที่ได้รับพระราชทานทั้งหมดถือว่าเป็น “ของดีของสูง” และเป็น “ส่วนพระองค์” โดยแท้จริง จึงไม่มีใครปริปาก
ต่อมา เมื่อความศักดิ์สิทธิ์ใน “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ได้ปรากฏต่อสาธารณชน พสกนิกรของพระองค์อีกจํานวนมากก็กราบบังคมทูลขออยู่ไม่ขาด จึงทรงกรุณาโปรดเกล้าสร้าง “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ออกมาอีกมากเป็นจํานวนพันองค์ พระองค์ได้พระราชทานให้พสกนิกรโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ นับตั้งแต่นักการเมือง ผู้ใหญ่ ตํารวจ ทหาร แม้กระทั่งคนทําสวน และผู้ที่ไปราชการรบที่เวียดนามก็ยังได้รับพระราชทานไปอีกส่วนหนึ่งด้วย
ต่อมาในปลายปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้หยุดสร้าง “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ
1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรากตรําพระวรกายในการสร้าง “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” และพระองค์ทรงแพ้สารเคมีและผงฝุ่นบางชนิด ในส่วนผสมขององค์พระ ทําให้พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคทางเดินหายใจบ่อยครั้ง แพทย์หลวงประจําพระองค์จึงได้กราบบังคมทูลถวายคําแนะนําให้ทรงงดการสร้าง “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา”
2. พระองค์ทรงไม่อยากเห็นพสกนิกรผู้ปรารถนาใน “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” อีกจํานวนมากมายต้องเสียทรัพย์เป็นหมื่นๆ อย่างขาดสติ เป็นเหยื่อของคนสิ้นคิด ซึ่งแอบทํา “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ปลอมกันออกมาในระยะนั้น
ดังนั้นในราวปี พ.ศ. 2512 จึงไม่ได้ทรงสร้าง “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” โดยพระหัตถ์ของพระองค์อีกเลย
“สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น นอกจากส่วนผสมซึ่งเป็นส่วนในพระองค์แล้ว ยังมีมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักร
มวลสารจากพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร พระใส วัดโพธิ์ชัย (จังหวัดหนองคาย) หลวงพ่อเพชร (จังหวัดพิจิตร) พระแก้วมรกต (จังหวัดลําปาง) ฯลฯ
และก็ยังมีมวลสารจากปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักร เช่น องค์พระปฐมเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) พระธาตุดอยกองมู และจากพระธาตุต่างๆ ทั่วประเทศ
และที่สําคัญที่สุด ก็คือ “เส้นพระเจ้า” (เส้นพระเกศา) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อรวมมวลสารจากทั่วราชอาณาจักรและเส้นพระเจ้าแล้ว จึงนับว่า “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ได้รวมเอาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาอยู่รวมกันอย่างครบถ้วนทีเดียว
และส่วนผสมก็ยังมาจากสิ่งมงคลที่พระเถระผู้ใหญ่บางรูปได้นํามาจากสังเวชนียสถานจากอินเดีย และศรีลังกาอีกด้วย
จึงกล่าวได้ว่า ไม่มีพระเครื่องใดที่สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์เท่ากับ “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา”
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใด “พระสมเด็จจิตรลดา” จึงมีมูลค่าสูง และเป็นที่ปรารถนาอย่างสูงสุดของนักสะสม แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ คุณค่าทางใจ และประวัติศาสตร์ที่เงินไม่สามารถแลกได้
พระเครื่องที่สะท้อนคำว่า “ธรรมราชา”
พระสมเด็จจิตรลดาไม่ใช่เพียงพระเครื่อง หากแต่คือ คำสอนแห่งความดี ความเสียสละ และความมั่นคงในศีลธรรม
การบูชาพระองค์นี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อขอพร หากแต่เพื่อระลึกถึงคุณธรรมของผู้ทรงสร้าง เพื่อให้ผู้ครอบครองหมั่นสำรวม ตั้งมั่นในทางธรรม และเป็น “กำลังของแผ่นดิน” ตามเจตนารมณ์ขององค์พระมหากษัตริย์
สรุป …
พระสมเด็จจิตรลดา คือพระที่มีทั้ง “คุณค่า” และ “คุณธรรม” คือเครื่องหมายแห่ง “ความดีที่มั่นคง”
ละเป็นต้นกำเนิดของผงจิตรลดา ที่ใช้ในการจัดสร้างพระรุ่นอื่นๆ อีกมากมายในเวลาต่อมา
และในตอนต่อไป …
เราจะเริ่มพาผู้อ่านเข้าสู่โลกของพระเครื่องรุ่นยอดนิยม ที่มีส่วนผสมของผงจิตรลดา
ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่า ราคาไม่แพง และเปี่ยมด้วยพุทธคุณไม่แพ้กัน
🙏 ขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางในบทความชุด “ตามรอยจิตรลดา”
ด้วยใจที่เปี่ยมศรัทธา และสายตาที่มองเห็น “ความดีที่ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเสมอไป”
📌 หากท่านปรารถนาที่จะมีพระเครื่องที่มีส่วนผสมของผงจิตรลดาไว้บูชาติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคล คลิกที่ลิ้งค์ได้เลยครับ https://kanwela.com/product-category/amulets/phong-jitlada/
ผู้เขียน: Peter Pan
อ้างอิง: หนังสือ “พระสมเด็จจิตรลดา พระที่ในหลวงทรงสร้าง”
ภาพ: คมชัดลึก
พระพุทธรูปพิมพ์องค์นี้ ผู้ได้รับพระราชทานได้ขนาม นาม ว่า “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ส่วนคําว่า “พระกําลังแผ่นดิน” นั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ขนามพระนาม ตามชื่อ เรียกของ พระองค์ท่าน “ภูมิ” แปลว่าแผ่นดิน คําว่า “พล” แปลว่า กําลัง จึงเป็นที่มาของพระนามองค์พระ “สมเด็จจิตรลดา” ว่า
“พระกําลังแผ่นดิน”
ตอนต่อไป…
เราจะเข้าสู่ พระรุ่นแรกที่จัดสร้างโดยใช้ผงจิตรลดาโดยตรง
นั่นคือ… “พระสมเด็จจิตรลดา” — พระที่ทรงลบผงและประทานด้วยพระราชหฤทัยอันบริสุทธิ์
🙏 ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางกับเรา ในเส้นทางแห่งศรัทธา …
ตามรอยผงวิเศษจากพระราชา “ผงที่เกิดจากธรรมะ ผงที่เกิดจากหัวใจ”
เบื้องหลังแห่งผงวิเศษ – มวลสารจากหัวใจของพ่อ
ผงจิตรลดา คือ “ผงวิเศษที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรวบรวมมวลสารต่างๆ ด้วยพระองค์เอง” มวลสาร ประกอบไปด้วยส่วนในพระองค์และวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ดังนี้
เบื้องหลังแห่งผงวิเศษ – มวลสารจากหัวใจของพ่อ
ผงจิตรลดา คือ “ผงวิเศษที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรวบรวมมวลสารต่างๆ ด้วยพระองค์เอง” คือ
- มวลสารส่วนพระองค์ ได้แก่ ดอกไม้แห้งมาลัยที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและทรงแขวนไว้ที่องค์พระตลอดเทศกาล, เส้นพระเจ้า ซึ่งเจ้าพนักงานได้รวบรวมไว้หลังจากทรงเครื่องใหญ่ทุกครั้ง, ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระแสงขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล, สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์ ชันและสีน้ำมันซึ่งทรงขูดจากเรือใบไมโครมด เรือใบพระที่นั่ง ขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่งใช้แข่งขันกีฬาแหลมทอง 1967 เป็นต้น
- มวลสารจากสถานที่ที่เคารพบูชาของผู้คนในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยทูลเกล้าฯ ถวาย อาทิ ดอกไม้แห้ง ผงธูป เทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระพุทธชินสีห์ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระพุทธชินราช ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก, ดอกไม้แห้ง ผงธูป เทียนบูชาจากพระอารามหลวงที่สำคัญ, ดินจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ในประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา ซึ่งสมณทูตได้ถวายเก็บไว้ในเจดีย์ที่วัดเสด็จ จังหวัดปทุมธานี, ดินและตะไคร่น้ำแห้งจากใบเสมาจากวัดทุกจังหวัดในประเทศไทย, น้ำจากบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและน้ำอภิเษก เป็นต้น
ผงนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการค้า หากแต่เกิดขึ้นด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ด้วยพระหฤทัยอันแน่วแน่และศรัทธาแรงกล้า เพื่อนำไปสร้าง “พระสมเด็จจิตรลดา” พระเครื่องฝีพระหัตถ์ พระราชทานแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเหล่าข้าราชบริพาร ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เป็นของมงคลที่เปี่ยมล้นด้วยความงามและคุณค่าทางจิตใจ เป็นขวัญกำลังใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดี ความเสียสละ และความรักในแผ่นดิน
เบื้องหลังแห่งผงวิเศษ – มวลสารจากหัวใจของพ่อ
ผงจิตรลดา คือ “ผงวิเศษที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรวบรวมมวลสารต่างๆ ด้วยพระองค์เอง” มวลสาร ประกอบไปด้วยส่วนในพระองค์และวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ดังนี้
1. ในส่วนพระองค์
- ดอกไม้แห้งจากพวงมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากร (พระแก้วมรกต) แล้วได้ทรงแขวนไว้ ณ ที่บูชาองค์พระพุทธปฏิมากรจนถึงคราที่เสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ทรงเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรเก็บดอกไม้แห้งไว้ใช้เป็นประโยชน์
- เส้นพระเกศา (เส้นผม) ซึ่งเจ้าพนักงานรวบรวมไว้หลังจากทรงพระเกศา (ตัดผม) ทุกครั้ง
- ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระแสงขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล,
- สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์ ชันและสีน้ำมันซึ่งทรงขูดจากเรือใบไมโครมด เรือใบพระที่นั่ง ขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่งใช้แข่งขันกีฬาแหลมทอง 1967 เป็นต้น
2. ส่วนที่มาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ทรงมอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดหาจากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด อันได้แก่ ดินหรือตะใคร่น้ำแห้งจากปูชนียสถาน เปลวทองคำปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา และน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมรุธาภิเษกในพระราชพิธีราชาภิเษก
มวลสาร ที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จจิตรลดาถูกนำมาจากทุกจังหวัด ซึ่งในขณะนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 ประเทศไทย มีจังหวัดทั้งหมด 71 จังหวัด ดังนี้
ภาคกลาง
- กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, พระพุทธนิรโร วัดบวรนิเวศวิหาร อรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- พระนครศรีอยุธยา ได้แก่ วัดมหาธาตุ, วัดพนัญเชิง, วัดสุนันทาวาส วัดหลวงสบสวรรค์, วิหารพระมงคลบพิตร
- ลพบุรี ได้แก่ ศาลพระกาฬ, ศาลลูกศร (ศาลหลักเมืองลพบุรี), พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
- สิงห์บุรี ได้แก่ วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ วัดโพธิ์เก้าต้น (บ้านบางระจัน), วัดสิงห์ (ปัจจุบันชื่อ วัดสิงห์สุทธาวาส) วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร
- อ่างทอง ได้แก่ วัดไชโยวรวิหาร, วัดป่าโมก
- สระบุรี ได้แก่ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร, วัดพระพุทธฉาย
- ปทุมธานี ได้แก่ วัดเสด็จ, ผงอิทธิเจและผงปถมังของพระครูสาครพัฒนกิจ
- นนทบุรี ได้แก่ วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร
- สมุทรปราการ ได้แก่ วัดพระสมุทรเจดีย์, ศาลหลักเมืองสมุทรปราการ
- ราชบุรี ได้แก่ วัดมหาธาตุ
- นครปฐม ได้แก่ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
- สุพรรณบุรี ได้แก่ วัดป่าเลไลยก์, ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี, พระบรมราชานุสาวรีย์ดอนเจดีย์, วัดสนามชัย, สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
- กาญจนบุรี ได้แก่ วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร, วัดท่ากระดาน
- เพชรบุรี ได้แก่ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท, พระครคีรี, พระธาตุจอจอมเพชร, ศาลหลักเมืองเพชรบุรีหลังเก่า, พระปรางค์วัดวัดมหาธาตุ
- ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ พระบรมสารีริกธาตุบนยอดเขาช่องกระจก, วัดธรรมมิการามวรวิหาร
- สมุทรสาคร ได้แก่ ศาลหลักเมืองสมุทรสาคร, ศาลพันท้ายนรสิงห์
- สมุทรสงคราม ได้แก่ วัดเพชรสมุทร (เดิมชื่อวัดบ้านแหลม)
- อุทัยธานี ได้แก่ วัดสังกัสรัตนคีรี
- ชัยนาท ได้แก่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร, วัดธรรมมูล (ปัจจุบันชื่อ วัดธรรมามูลวรวิหาร)
ภาคตะวันออก
- ชลบุรี ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์จำลอง, วัดป่า (ปัจจุบันชื่อ วัดอรัญญิกาวาส)
- ฉะเชิงเทรา ได้แก่ พระพุทธโสธร วัดโสธรวราราม, ศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา
- ระยอง ได้แก่ ศาลหลักเมืองระยอง, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- ตราด ได้แก่ ศาลหลักเมืองตราด, วัดบุปผาราม
- จันทบุรี ได้แก่ ศาลหลักเมืองจันทบุรี, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ น้ำในคลองนารายณ์บริเวณหน้าน้ำตกเขาสระบาป, คลองสระบาป, น้ำจากสระแก้ว (ตำบลพลอยแหวน อำเภอท่าใหม่)
- นครนายก ได้แก่ ศาลหลักเมืองนครนายก, พระพุทธบาทจำลอง วัดเขานางบวช (ตำบลสาริกา)
- ปราจีนบุรี ได้แก่ วัดต้นศรีมหาโพธิ์
ภาคเหนือ
- ลำปาง ได้แก่ วัดพระธาตุลำปางหลวง, วัดพระแก้วดอนเต้า (ปัจจุบันชื่อ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม), วัดพระธาตุเสด็จ, ศาลหลักเมืองลำปาง, ศาลเจ้าพ่อประตูผา, หออะม็อก (เจ้าพ่อหมอกมุงเมือง)
- แม่ฮ่องสอน ได้แก่ พระธาตุดอยกองมู
- เชียงราย ได้แก่ วัดพระธาตุดอยตุง ปัจจุบันชื่อ วัดพระมหาชินธาตุเจ้า (ดอยตุง), วัดพระธาตุจอมกิตติ
- เชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร, พระธาตุดอยสุเทพ, พระพุทธสิหิงค์, วัดพระธาตุศรีจอมทอง, ศาลหลักเมืองเชียงใหม่, วัดเจดย์เจ็ดยอด (ปัจจุบันชื่อ วัดโพธารามมหาวิหาร), ที่ตั้งค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, (อำเภอฝาง), อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
- น่าน ได้แก่ พระเจ้าทองทิพย์ (พระพุทธรูป), วัดสวนตาล, พระธาตุแช่แห้ง, พระธาตุเขาน้อย
- ลำพูน ได้แก่ วัดพระบรมธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร, วัดจามเทวี (เดิมชื่อ วัดกู่กุด)
- แพร่ ได้แก่ ศาลหลักเมืองแพร่, พระธาตุช่อแฮ, พระธาตุปูแจ (น่าน), พระธาตุจอมแจ้ง, วัดพระธาตุจอมแจ้ง (อำเภอสา น่าน)
- ตาก อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- พิษณุโลก ได้แก่ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
- สุโขทัย ได้แก่ วัดมหาธาตุ, พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร, น้ำบ่อทอง น้ำบ่อแก้ว อำเภอศรีสัชนาลัย, วัดต้นจันทร์ (ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย)
- กำแพงเพชร ได้แก่ วัดพระบรมธาตุ, ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร
- พิจิตร ได้แก่ พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง
- เพชรบูรณ์ ได้แก่ วัดไตรภูมิ, ศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์
- นครสวรรค์ ได้แก่ วัดวรนาถบรรพต (วัดเขากบ)
- อุตรดิตถ์ ได้แก่ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ (เดิมชื่อ วัดมหาธาตุอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล), วัดพระบรมธาตุ, วัดท่าถนน (พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- นครราชสีมา ได้แก่ ศาลหลักเมืองนครราชสีมา, อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี, ปราสาทหินพิมาย, วัดศาลาทอง, วัดพนมวันท์, ปราสาทหินพนมวัน, ศาลเจ้าแม่บุ่งตาหลัว, ศาลเจ้าพ่อไฟ, ศาลเจ้าพ่อวัดแจ้ง, ศาลเจ้าพ่อพระยาสี่เขี้ยว
- ชัยภูมิ ได้แก่ พระปรางค์กู่, พระธาตุกุดจอก, พระธาตุหนองสามหมื่น, พระพุทธรูปพระเจ้าองค์ตื้อ, เขาภูพระ, วัดศิลาอาสน์, เจ้าพ่อพญาแล
- บุรีรัมย์ ได้แก่ ปราสาทเขาพนมรุ้ง, ปราสาทเมืองต่ำ, ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์, ศาลเทพารักษ์, เจ้าพ่อวังกรูด, ดินจากสังเวชนียสถานต่างๆ ในประเทศอินเดีย
- สุรินทร์ ได้แก่ พระพุทธรูปหลวงพ่อพระชีว์ วัดบูรพาราม
- ศรีสะเกษ ได้แก่ วัดมหาพุทธาราม, ศาลหลักเมืองศรีสะเกษ
- อุบลราชธานี ได้แก่ วัดมหาวนาราม พระเจ้าอินทร์แปลง (พระพุทธรูป)
- อุดรธานี ได้แก่ ศาลเทพารักษ์ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม, ศาลหลักเมืองอุดรธานี, วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดอุดรธานี
- หนองคาย ได้แก่ พระธาตุบังพวน, พระพุทธรูปหลวงพ่อใส วัดโพธิ์ชัย
- เลย ได้แก่ วัดพระธาตุศรีสองรัก
- สกลนคร ได้แก่ พระธาตุเชิงชุม วัดพระธาตุเชิงชุม
- นครพนม ได้แก่ พระธาตุพนม, ศาลหลักเมืองนครพนม
- ขอนแก่น ได้แก่ พระธาตุขามแก่น
- มหาสารคาม ได้แก่ ศาลหลักเมืองมหาสารคาม
- ร้อยเอ็ด ได้แก่ ปรางค์กู่, ศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด, พระกู่นา วัดสระทอง, พระธาตุเจดีย์อูบมุง
- กาฬสินธุ์ ได้แก่ ศาลหลักเมืองกาฬสินธุ์
ภาคใต้
- ชุมพร ได้แก่ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หาดทรายรี
- นครศรีธรรมราช ได้แก่ พระบรมธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
- สุราษฎร์ธานี ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร
- ระนอง ได้แก่ วัดอุปนันทาราม (เดิมชื่อ วัดด่าน)
- กระบี่ ได้แก่ ถ้ำพระ เขาขนาบน้ำ
- พังงา ได้แก่ ศาลหลักเมืองพังงา, เทวรูปพระนารายณ์ วัดนารายณิการาม
- ภูเก็ต ได้แก่ พระพุทธบาท เกาะแก้วหน้าหาดราไว วัดพระทอง (เดิมชื่อ วัดพระผุด), อนุสาวรีย์พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี หรือหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง (ปัจจุบันชื่อ วัดไชยธาราราม)
- สงขลา ได้แก่ วัดชัยมงคล, วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา (เดิมชื่อ วัดเลียบ), วัดพะโคะ (ปัจจุบันชื่อ วัดราชประดิษฐาน), ศาลหลักเมืองสงขลา
- ตรัง ได้แก่ วัดถ้ำเขาสาย, วัดถ้ำคีรีวิหาร, พระพุทธรูปพระว่านศักดิ์สิทธิ์ วัดถ้ำพระพุทธ, ดินจากสังเวชนียสถานต่างๆ ในประเทศอินเดีย
- พัทลุง ได้แก่ พระธาตุวัดตะวัดเขียน (ปัจจุบันชื่อ พระธาตุวัดเขียนบางแก้ว) วัดเขียนบางแก้ว
- สตูล ได้แก่ วัดชนาธิปเฉลิม (เดิมชื่อ วัดมำบัง), วัดสตูลสันตยาราม, วัดหน้าเมือง, วัดคูยางราม
- ปัตตานี ได้แก่ ศาลหลักเมืองปัตตานี, วัดช้างให้ (ปัจจุบันชื่อ วัดราษฎร์บูรณะ)
- ยะลา ได้แก่ วัดคูหาภิมุข, ศาลหลักเมืองยะลา
- นราธิวาส ได้แก่ วัดพระพุทธ อำเภอตากใบ
✤ ภาคกลาง ✤
มวลสารจากพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร พระใสวัดโพธิ์ชัย (จังหวัดหนองคาย) หลวง พ่อเพชร (จังหวัดพิจิตร) พระแก้วมรกต (จังหวัดลําปาง) ฯลฯ และก็ ยังมีมวลสารจากปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักร เช่น องค์ พระปฐมเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) พระธาตุ ดอยกองมู และจากพระธาตุต่างๆ ทั่วประเทศ
และที่สําคัญที่สุด ก็คือ เส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศา) ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อรวมมวลสารจากทั่วราชอาณาจักรและ เส้นพระเจ้าแล้ว จึงนับว่า “สมเด็จหลวงพ่อจิตรลดา” ได้รวมเอา ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาอยู่รวมกันอย่างครบถ้วนที่เดียว
และส่วนผสมก็ยังมาจากสิ่งมงคลที่พระเถระผู้ใหญ่บางรูปได้
นํามาจากสังเวชนียสถานจากอินเดียและศรีลังกาอีกด้วย
จึงกล่าวได้ว่าไม่มีพระเครื่องใดที่สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์เท่ากับ
พระสมเด็จจิตรลดา
พุทธคุณของผงจิตรลดา
แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานบันทึกไว้ แต่จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยได้ครอบครองบูชา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผงจิตรลดา” นั้น “เป็นมวลสารที่มีพุทธคุณสูงทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ช่วยเสริมบารมีให้สูงส่ง เสริมความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เพราะเกิดจากบุญกุศลและพระราชเจตนาที่บริสุทธิ์ที่สุด”
และด้วย “ความพิเศษของผงจิตรลดา ที่แม้จะไม่ได้ทำพิธีพุทธาภิเษก แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก” ใครก็ตามที่มีวาสนาได้ครอบครองบูชา “พระสมเด็จจิตรลดา” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสร้าง หรือได้บูชาพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ผสมมวลสารจิตรลดา ย่อมได้รับความเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต
ทำไมใครๆ ถึงอยากได้ “พระสมเด็จจิตรลดา”?
พระสมเด็จจิตรลดา หรือพระกำลังแผ่นดิน (ปัจจุบันประชาชนเรียกว่าสมเด็จจิตรลดา, พระจิตรลดา เดิมเรียกว่าพระพิมพ์ที่ฐานพระพุทธนวราชบพิตร) เป็นพระเครื่องที่จัดสร้างด้วยผงจิตรลดา ซึ่งเป็นผงมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงรวบรวมไว้ และนำมาทำเป็นผงด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังสร้างและกดพิมพ์องค์พระด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพื่อพระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือน ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2508 – 2513 มีทั้งสิ้นประมาณ 2,500 องค์
พระสมเด็จจิตรลดาเป็นพระเครื่องที่มีความ “เหนือชั้น” กว่าพระเครื่องอื่นด้วย “มวลสาร” แม้จะไม่มีพิธีพุทธาภิเษกก็ตาม เป็นหนึ่งในพระเครื่องที่มีคุณค่าสูงสุด ทั้งในแง่จิตใจและประวัติศาสตร์ ราคาบูชาในปัจจุบันนั้นสูงมาก อยู่ในระดับที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังมีของปลอมออกมามากมาย คนที่ไม่มีความรู้ดูพระไม่เป็น ถึงมีเงินเช่าบูชาก็ยากที่จะได้ของแท้ครอบครอง
ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้ จึงไม่แปลกที่มีผู้คนจำนวนมากมาย ซึ่งปรารถนาในพุทธคุณและความเป็นสิริมงคลของผงจิตรลดา ได้หันมาเช่าหาบูชาและสะสม “พระรุ่นอื่นที่มีส่วนผสมของผงจิตรลดา” แทน เพราะได้ผงจิตรลดาแท้ๆ ในราคาที่ย่อมเยากว่ามาก
จุดเริ่มต้นของบทความชุดนี้
ด้วยความซาบซึ้งและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างผงจิตรลดา ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และด้วยความที่เราชอบและศรัทธาในผงจิตรลดามากๆ จึงสะสมพระเครื่องที่ผสมผงจิตรลดาไว้หลายรุ่น และคิดว่าน่าจะมีอีกหลายคนที่ชอบเหมือนกันกับเรา เราเลยเริ่มต้นเขียนบทความชุดนี้ขึ้นมา โดยตั้งชื่อว่า “ตามรอยจิตรลดา” เพื่อพาผู้อ่านไปรู้จักกับพระเครื่องรุ่นต่างๆ “ที่มีส่วนผสมของผงจิตรลดา” โดยคัดเฉพาะรุ่นที่จัดสร้างอย่างพิถีพิถัน มีข้อมูลยืนยันชัดเจน และได้รับความนิยมในวงการ เช่น
- พระสมเด็จพระศาสดา รุ่นแรก ปี 2516 (สมเด็จจิตรลดาขาว)
- พระพุทธชินสีห์ ทันโต เสฏโฐ ปี 2533 (พระรุ่นเดียวที่มีผงพระทนต์ของรัชกาลที่ 9)
- พระพุทธชินราช รุ่นเพราะแผ่นดินนี้คือแผ่นดินเกิด
และอีกหลายรุ่นที่จะทยอยนำเสนอในตอนต่อๆ ไป
ทำไมเราควรมี “พระผสมผงจิตรลดา” บูชาติดตัว?
ในโลกที่วุ่นวายและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พระเครื่องที่มีพลังใจแท้จริง คือ “พระที่สร้างด้วยศรัทธา บูชาด้วยความเชื่อมั่น และมีพุทธคุณโดยไม่ต้องโฆษณา”
“พระเครื่องที่ผสมผงจิตรลดา” คือพระที่ควรค่าแก่การสวมใส่ ไม่ใช่เพราะราคา แต่เพราะความหมาย ความเป็นสิริมงคล และพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 9 ที่แฝงอยู่ในองค์พระนั้น
ตอนต่อไป…
ในตอนต่อไป (ตอนที่ 2) เราจะพาไปรู้จักกับมวลสารต่างๆ ที่หลอมรวมเป็น “ผงจิตรลดา” — ต้นกำเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ในพระเครื่องสายนี้ ว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละอย่างมีที่มาอย่างไร?
ตอนต่อไป…
เราจะเข้าสู่ พระรุ่นแรกที่จัดสร้างโดยใช้ผงจิตรลดาโดยตรง
นั่นคือ… “พระสมเด็จจิตรลดา” — พระที่ทรงลบผงและประทานด้วยพระราชหฤทัยอันบริสุทธิ์
🙏 ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางกับเรา ในเส้นทางแห่งศรัทธา …
ตามรอยผงวิเศษจากพระราชา “ผงที่เกิดจากธรรมะ ผงที่เกิดจากหัวใจ”
🙏 ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางใน “เส้นทางแห่งศรัทธา” นี้ และหวังว่าบทความชุดนี้จะจุดประกายให้ท่านมองเห็นความงดงามของพระเครื่องจากมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
📌 หากท่านปรารถนาที่จะมีพระเครื่องที่มีส่วนผสมของผงจิตรลดาไว้บูชาติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคล คลิกที่ลิ้งค์ได้เลยครับ https://kanwela.com/product-category/amulets/phong-jitlada/
ผู้เขียน: Peter Pan
อ้างอิง: หนังสือ “พระสมเด็จจิตรลดา พระที่ในหลวงทรงสร้าง”
ภาพ: คมชัดลึก
ผู้เขียน: Peter Pan
อ้างอิง: พระสมเด็จจิตรลดา หรือพระกำลังแผ่นดิน เป็นมงคลชีวิต หากได้ครอบครอง
บ้านของอัมพวันเองก็มีโทรศัพท์บ้านไว้ใช้สำหรับติดต่อสื่อสาร โดยคุณยาย (แม่ของอัมพวัน) จะใช้รับและโทรหาลูกที่แยกย้ายไปศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ เพราะนั่นคือหนึ่งในไม่กี่วิธีที่ทำให้คนไกลเหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน
“สมัยนั้น คนต้องแลกเหรียญเอาไว้เยอะมาก ใครไม่มีเหรียญก็ต้องไปแลกตามร้านค้า ซึ่งบางทีเขาก็หงุดหงิด เพราะการขายของจำเป็นต้องใช้เหรียญในการทอนเงิน ก็จะมีป้าย ‘งดแลกเหรียญ’ พอเกิดเรื่องแบบนี้ ประกอบกับเทคโนโลยีที่พัฒนาและกำลังเข้ามาจึงเกิดเป็นการ์ดโฟนให้ลองใช้”
ในต่างประเทศ การใช้บัตรโทรศัพท์ถูกพัฒนามาก่อนหน้าประเทศไทยหลายสิบปี และมีคุณภาพที่ดีกว่า โดยปลายสายเทียบให้ฟังว่า ลวดลายของต่างประเทศจะพิมพ์อยู่ในบัตรและติดแน่น ขณะที่ของประเทศไทยมีโอกาสหลุดลอกได้มากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่เก็บไว้ในแฟ้มสะสม เมื่อพลาสติกละลายเพราะอากาศร้อนจะทำให้บัตรเหนียว และหากรีบดึงออกมาลายจะหลุดติดกับพลาสติกจนเสียหาย เช่นเดียวกับแฟ้มของเธอที่ใช้มาเกือบ 30 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2535
บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: readthecloud.co
ผู้เขียน: วโรดม เตชศรีสุธี
ภาพ: ธิฆัมพร ช่วยชนะ
Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been the industry’s standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown printer took a galley of type and scrambled it to make a type specimen book. It has survived not only five centuries, but also the leap into electronic typesetting, remaining essentially unchanged. It was popularised in the 1960s with the release of Letraset sheets containing Lorem Ipsum passages, and more recently with desktop publishing software like Aldus PageMaker including versions of Lorem Ipsum.
It is a long established fact that a reader will be distracted by the readable content of a page when looking at its layout. The point of using Lorem Ipsum is that it has a more-or-less normal distribution of letters, as opposed to using ‘Content here, content here’, making it look like readable English. Many desktop publishing packages and web page editors now use Lorem Ipsum as their default model text, and a search for ‘lorem ipsum’ will uncover many web sites still in their infancy. Various versions have evolved over the years, sometimes by accident, sometimes on purpose (injected humour and the like).
