หลวงพ่อเคลือบเป็นคนเชื้อสายจีน สัญชาติไทย เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๒ ที่บ้านคลองชะโด ต.ทุ่งใหญ่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี นามมารดา บิดา ยังไม่ทราบหลักฐาน มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา ๘ คน เมื่ออายุครบบวชแล้ว ก็ได้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ ที่พัทธสีมาวัดหนองเต่า ตำบลโนนเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยมีพระครูอุทัยธรรมวินิฐ (หลวงพ่อสิน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ไม่ทราบนาม แล้วท่านก็ได้นามว่าพระเคลือบ สาวรธมฺโม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลวงพ่อเคลือบท่านได้อยู่จำพรรษาเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสินที่วัดหนองเต่าเป็นเวลา ๓ พรรษา ได้วิชาวาจาสิทธิ์ และวิชาคงกระพันชาตรีจากหลวงพ่อสิน
สมัยนั้นพระภิกษุสามเณรวัดหนองเต่ามีจำนวนมาก ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต และหลวงพ่อสินท่านพูดอยู่เสมอว่า ถ้าจะให้วิชาขลังนั้น ต้องไปหาที่สงบฝึกจิต หลวงพ่อเคลือบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสินแล้วก็ขอลาไปฝึกจิตเรียนวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อสินบอกว่ามีพระเก่งวิชาเพ่งกสินอยู่แถบลพบุรี ท่านก็ลาไป โดยมีพระร่วมเดินทางไป ๓ รูป ท่านก็ไปพบอาจารย์ ซึ่งจากการสอบถามคนเก่าหลายคนบอกว่า เป็นหลวงพ่อวัดเขาสาลิกา ซึ่งเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้ามากในสมัยนั้น โดยเฉพาะกสินไฟ ท่านเพ่งเทียนจนไฟลุกได้ เมื่อหลวงพ่อเดินทางไปถึงแล้ว ก็เข้าไปกราบพร้อมฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนคาถา พระอาจารย์พูดว่า ถ้าไม่สึกก็จะสอนวิชาให้ ถ้าสึกก็จะไม่สอน หลวงพ่อเคลือบก็ปฏิญาณแน่วแน่ว่าชาตินี้จะไม่ขอสึก ส่วนพระที่ไปด้วยไม่รับปาก จึงไม่ได้เรียนวิชาด้วย

ท่านเรียนกรรมฐานทำสมาธิ จนจิตเป็นหนึ่งเดียว และเรียนวิชากสินไฟ และเรียนอักษรขอมที่ใช้เขียนยันต์เพิ่มเติมจากหลวงพ่อกบอีกเป็นเวลาถึง ๖ ปีเต็ม ท่านก็ลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปทางเหนืออีกหลายปี ไม่ทราบว่าไปที่ใดบ้าง แล้วท่านก็กลับมาที่อุทัยอีก มาอยู่วัดหนองเต่า แต่อยู่ได้ไม่กี่วันทางญาติโยมวัดหนองหญ้านางก็มานิมนต์หลวงพ่อเคลือบไปอยู่
เมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดหนองหญ้านาง ท่านก็ได้สร้างพระอุโบสถขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดีก็เกิดเรื่องกับบรรดามักทายกวัดขึ้นเสียก่อน หลวงพ่อเคลือบจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าข้าอยู่ ใครก็มาอยู่ไม่ได้” ต่อมาก็หาพระมาอยู่ได้ยาก แล้วหลวงพ่อเคลือบก็กลับมาที่วัดหนองเต่า พอดีทางวัดหนองแกขาดพระ หลวงพ่อเคลือบจึงมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ๑ พรรษา แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดทัพทันอีก ๓ พรรษา พอดีทางวัดหนองกระดี่ไม่มีเจ้าอาวาส พวกญาติโยมจึงนิมนต์หลวงพ่อเคลือบมาเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเคลือบท่านอยู่ที่วัดหนองกระดี่จนมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นั่นเอง (ที่มา : จากหนังสือประวัติหลวงพ่อเคลือบ เนื่องในงานเททองหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อเคลือบ)
การบนบานศาลกล่าว “หลวงพ่อเคลือบ”
หลวงพ่อเคลือบเป็นชาวหมู่บ้านหนองเต่า อ.เมือง จ.อุทัยธานี เมื่อครบอุปสมบท ก็ได้อุปสมบทที่วัดหนองเต่า โดยมีหลวงพ่อสินเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อจำพรรษาได้ ๓ พรรษา ได้กราบลาพระอาจารย์ไปเรียนพระเวทที่ จ.ลพบุรี โดยเดินทางด้วยเท้าเปล่าครึ่งเดือน ท่านมีความมานะ ได้เรียนอยู่ ๖ ปีเต็ม ท่านเป็นผู้มีกรรม คือ ท่านเป็นโรคริดสีดวง จึงต้องทานยาผสมสุรา ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถูกชาวบ้านมองท่านในแง่ไม่ดี แม้แต่พระสงฆ์ด้วยกันก็ตาม จนเจ้าคณะจังหวัดสั่งไม่ไห้ใครยุ่งเกี่ยวกับหลวงพ่อเคลือบ ท่านมีความขยันในการเล่าเรียนคาถาอาคมจนเก่งกล้า ท่านจึงกลับวัดหนองเต่า อยู่ได้ไม่นานทางวัดหนองกระดี่นิมนต์ท่านกลับมาเป็นเจ้าอาวาส
หลวงพ่อเคลือบท่านได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น เวลาที่ชาวบ้านต้องการให้ท่านช่วยเหลือ จะจุดธูป ๓ ดอก บนบานบอกกล่าวต่อท่าน หรือจะบอกกล่าวท่านด้วยปากเปล่าก็ได้ ว่าต้องการให้ท่านช่วยเรื่องอะไร และจะแก้บนด้วยอะไร ส่วนใหญ่จะบนบานท่านด้วยเหล้าขาว มะขามเปียก และพวงมาลัย หากเรื่องที่ขอให้ท่านช่วยนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกินบุญเกินกรรม ก็จะประสบผลสำเร็จกันทุกคน
การบนบานศาลกล่าวหลวงพ่อเคลือบ แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของชาวจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียงไปแล้ว เมื่อมีของหาย ถ้าบนบาน ก็จะได้กลับคืนมาเกือบทุกครั้ง หรือบางครั้งก็จะมีการบนบานไม่ให้ฝนตก ฝนก็จะหยุดตกเกือบทุกครั้งไป หรือบางครั้งก็จากหนักเป็นเบา รวมถึงการช่วยคุ้มครองในการเดินทางให้ปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าจะบนบานให้ได้ผลก็จะบนท่านด้วยเหล้าขาว มะขามเปียก เปิดฝาแล้วบอกกล่าวท่าน ทิ้งไว้สักครู่ก็บอกลาท่าน ส่วนใหญ่จะไปแก้บนที่วัดหนองกระดี่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี เพราะมีศาลและรูปจำลองของท่านตั้งอยู่ ในทุกวันจะมีผู้คนไปสักการะท่านเป็นประจำ

หลวงพ่อเคลือบกับชาวจังหวัดอุทัยธานีนั้นมีความผูกพันกันมาก เรียกได้ว่านึกอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก ก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อเคลือบทุกครั้ง หรือเวลาที่เราเห็นใครจะดื่มเหล้า ต้องเทเหล้าใส่แก้ว ยกมือพนมไว้ก่อนดื่ม สันนิษฐานได้เลยว่า ๘๐% เป็นคนอุทัยธานี
ส่วนเรื่องของวัตถุมงคลของหลวงพ่อนั้น เท่าที่ทราบ วัตถุมงคลที่ทันหลวงพ่อจะมีเพียงแค่ตะกรุด (ฝาบาตร) และรูปถ่ายเท่านั้น ส่วนวัตถุมงคลที่นิยมเช่าหาบูชากันนั้นมีมากมายหลายรุ่นด้วยกัน เช่น วัตถุมงคลชุดปี ๒๕๑๕ ออกโดยวัดทัพทัน พิธีดี ประสบการณ์เยี่ยม และวัตถุมงคลที่ออกวัดอื่นๆ เช่น วัดดงแขวน วัดหนองกระดี่นอก หนองกระดี่ใน
“ทิดหนึ่ง” ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสนิทสนมกับหลวงพ่อเคลือบ (ทางจิตวิญญาณ แต่คงไม่สามารถบอกกล่าวให้ทุกท่านเข้าใจได้ ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณกันนะครับ) ได้เคยบอกเล่าถึงวัตถุมงคลของหลวงพ่อเคลือบไว้ว่า …
“วัตถุมงคลของหลวงพ่อเคลือบนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด วัดใด ทันหรือไม่ทันท่าน แท้หรือไม่แท้ก็ตาม หากเคารพศรัทธาท่านจริง เวลามีเคราะห์ มีความเดือดร้อน ต้องการให้ท่านช่วย เพียงแค่นึกถึงและเอ่ยชื่อท่าน บอกวัด บอกจังหวัด บอกให้ท่านช่วย รับรองว่าท่านจะมาอนุเคราะห์ญาติโยมทุกคนทุกท่านแน่นอน”

การแก้บนกับหลวงพ่อเคลือบ
การบอกกล่าวและการแก้บนให้กับหลวงพ่อเคลือบนั้น ขอให้ตั้งใจทำถวายท่านอย่างจริงใจ ไม่ใช่โกงท่าน เช่น บนด้วยเหล้าขาว เหล้าแดง เบียร์ กี่ขวด ก็ควรจะทำตามเช่นนั้น หลายคนคอยจะโกงท่าน เช่น บนเหล้า ๖ ขวด ก็ซื้อเหล้ามาแล้วเทใส่ขวดเครื่องดื่ม ๖ ขวด แบบนี้ถือว่าเป็นการโกงนะครับ และควรรอให้ธูปไหม้หมดดอกเสียก่อนนะครับ แล้วค่อยเสสัง จึงจะถูกต้อง ถูกวิธีครับ
คนบางคนชอบทำแบบพอเป็นพิธี ไม่ตั้งใจทำ เช่น เวลาบอกกล่าวท่าน (ก่อนดื่มเหล้า) ก็ควรจะทิ้งไว้สักครู่ ประมาณสักชั่วอึดใจ ไม่ใช่ว่าวางปุ๊บ ก็เสสังปั๊บเลย เพราะหลวงพ่อเคยบอกว่า “กูยังไม่ทันนั่งเลย มันเสสังซะแล้ว”
“ทิดหนึ่ง” บอกว่า ของที่นำมาแก้บนหลวงปู่เคลือบนั้น หากครอบครัวของท่านไม่ขัดสนมากจนเกินไปนัก ของที่นำมาแก้บนให้นำถวายวัดไปเลย (หัวหมู ไก่ ฯลฯ) เพื่อที่พระเณรท่านจะได้นำของเหล่านั้นไปทำทานต่ออีกที ตัวท่านเองก็จะได้บุญร่วมกับพระเณรด้วย ส่วนเหล้าเอากลับไปเถิดไม่ว่ากัน
ท่านใดผ่านมาถนนสายทัพทัน – สว่างอารมณ์ ขอเชิญแวะกราบนมัสการท่านได้ที่วัดหนองกระดี่นอกครับ วิหารหลวงพ่อเคลือบอยู่ติดกับถนนพอดี มองเห็นได้ชัดเจนครับ … ขอบารมีหลวงพ่อเคลือบคุ้มครองทุกท่านตลอดไป
ขอบคุณข้อมูลจาก : pantown
ที่มาบทความ : แอพเกจิ

บรรพชาและอุปสมบท
เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้ว และได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บน ในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้นพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบท จึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัย และที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
There are many variations of passages of Lorem Ipsum available, but the majority have suffered alteration in some form, by injected humour, or randomised words which don’t look even slightly believable. If you are going to use a passage of Lorem Ipsum, you need to be sure there isn’t anything embarrassing hidden in the middle of text.